บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

คนขวางผี


อ่านชื่อแล้ว หลายๆ คนคงคิดไปถึงคำว่า “คนขวางโลก” ซึ่งไม่ได้หมายความมีคนไปนอนขวางโลกหรือยืนขวางโลกอยู่  แต่เป็นคนที่ทำอะไรแล้ว บุคคลรอบข้างไม่ค่อยชอบใจ

ส่วนใหญ่ก็จะตำหนิว่า “ไปทำอย่างนั้นทำไม”  ไม่มีใครเขาทำกัน..

ในเรื่อง “คนขวางผี” นี้ ความหมายของชื่อเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ และคนที่ไปขวางผี ก็คือผมเอง 

โดยปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะกลัวผีนัก แต่ก็จะนึกหวาดๆ เป็นบางครั้ง เป็นบางที่บางเวลาที่บรรยากาศเข้าข้างไปทางผี 

การไม่กลัวผีของผมไม่ได้เกิดจากมีพระดี หรือไปกินดีหมีมาจากไหน แต่เกิดจากการที่ผมชอบหนีออกจากบ้านเป็นประจำ

ผมเป็นเด็กที่เกเรในระดับมาก ถึงมากที่สุด มีเรื่องให้พ่อแม่ออกแรงตีผมเป็นประจำ  อย่างไรก็ดี การจะตีผมได้นั้น ก็ต่อเมื่อผมจนปัญญาหนีไม่ทันจริงๆ

ตามธรรมชาติของผมแล้ว  เมื่อไหร่ที่สภาพการณ์บ่งชี้ไปว่า คราวนี้จะต้องโดนตีแน่ๆ ผมก็จะหนีออกจากบ้านไปทันที  แต่ไม่ได้หนีไปไหนไกล หนีอยู่แถวๆ บ้านนั่นแหละ

ถ้าหนีไปไกลๆ เดี๋ยวไม่มีข้าวกิน

ในวัยเด็ก ผมหนีออกจากบ้านเป็นสิบๆ ครั้ง  วันเดียวบ้าง สอง-สามวันบ้าง เป็นอาทิตย์ก็เคยมี

เมื่อหนีออกจากบ้าน แล้วผมไปนอนที่ไหน ผมก็นอนแถววัดพระบรมธาตุ แถวเขื่อนบรมธาตุ แถวต้นโพธิ์ในตลาด หลังตลาด ฯลฯ  

ในบางครั้ง เมื่อเบื่อที่นอนเดิม ก็ต้องมีการเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง  การเดินคนเดียวดึกๆ ดื่นๆ และหลายๆ ทีก็ต้องเดินผ่านป่าช้า

เมื่อเดินเป็นประจำ ก็ไม่เห็นผีมันมาหลอก มาหลอนสักที  มันก็เลยไม่กลัวผีเป็นธรรมดา 

จากประวัติอันโชกโชนในการหนีออกจากบ้าน และไม่กลัวผี  ทำให้ผมเป็นที่พึ่ง อันเป็นสรณะของบรรดาเพื่อนๆ ที่กลัวผี

ถ้าจะไปไหนกันในตอนกลางคืน แล้วมีผมไปด้วย  ไอ้พวกนั้น มันจะไม่กลัวผีเลย  มันอุ่นใจว่ามีผมไปเป็นเพื่อน 

เมื่อเพื่อนตั้งความหวังไว้อย่างยิ่งใหญ่อย่างนั้น  มันก็ทำให้ผมไม่กลัวผีขึ้นไปอีก แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ  บางจังหวะ บางเวลาก็มีอาการหวาดๆ เหมือนกัน

ในคราวที่ผมจะไปขวางผีนั้น  ผมอายุประมาณ 19 ปีแล้ว ที่จำได้แม่น ก็เพราะเป็นวันที่จะเอาเงินเดือนตกเบิกการเป็นครูไปให้แม่

ผมเป็นครูก่อนเกณฑ์ทหาร  เงินเดือนเกือบๆ สองพันบาทได้ ตอนนั้นจบ ป.กศ. ต้น

ครูใหม่ๆ ในยุคนั้น กว่าเงินเดือนครั้งแรกจะออกก็ปาเข้าไปตั้ง 6 เดือน  เมื่อเงินเดือนออกก็ต้องเอาเงินไปคืนแม่

เงินเดือนครั้งแรกของผมหมื่นกว่าบาท ผมให้แม่หมดเลย  การที่รีบเอาเงินไปให้แม่นี่แหละ ทำให้ผมไปขวางผีเข้า

ผมเป็นครูครั้งแรกที่โรงเรียนบ้านม่วง (อยู่ประยงค์ ณ บ้านเบิก) อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี

พอโรงเรียนเลิก ก็นั่งรถจากท่าวุ้งกลับมาบ้าน แต่รถที่จะผ่านบ้านไม่มีแล้ว จึงต้องลงรถโดยสารที่เขื่อนเจ้าพระยา

แล้วก็จ้างรถมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งที่หมู่บ้าน  หมู่บ้านที่ผมอยู่นั้น เป็นตลาด ไม่ใช่หมู่บ้านอย่างเช่นหมู่บ้านทั่วๆ ไป  ชื่อตลาดบรมธาตุ

พื้นที่ของตลาดบรมธาตุทั้งหมด ตั้งอยู่ในพื้นที่ดินของวัด บางส่วนเป็นป่าช้าเก่า  ส่วนที่เป็นป่าช้าเก่า รวมถึงสถานที่ที่สร้างบ้านของผมด้วย

ตลาดบรมธาตุนั้น สร้างเป็นแถวๆ  ตั้งฉากกับแม่น้ำเจ้าพระยา  ห้องแถวหลักหันหน้าเข้าหากัน และมีตลาดสดอยู่ระหว่างกลาง

บ้านผมเป็นบ้านสองชั้นหลังเดียวของแถวนั้น  อยู่หลังห้องแถวของแถวที่สาม  ห้องแถวชุดนี้จะเป็นห้องแถวชั้นเดียว  ไม่เหมือนกับห้องแถวหลักซึ่งเป็น 2 ชั้น

การจะเข้าบ้านผมนั้น จะต้องเดินเข้าไปในซอยแคบๆ ระหว่างรั้วของวัดกับห้องแถวของชาวบ้าน  ซอยที่ว่าแคบก็คือ รถยนต์เข้าไม่ได้

บรรดาผู้อยู่ในห้องแถวนั้น ส่วนใหญ่มีอาชีพขายของ ก็เอาสิ่งของ กระบุง ตะกร้าไว้แถวหน้าบ้าน การเดินผ่านไปมาก็ต้องคอยระวัง หลีกไม่ให้ชนข้าวของที่วางไว้

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งมันชื่อ “ไอ้ปิ”  ชื่อจริงของมันก็คือ ปิยะ ทำบุญ  เรียนด้วยกันตั้งแต่ ป. 1 บ้าน “ไอ้ปิ” เป็นหลังสุดท้ายของห้องแถว  ทำให้บ้านของมัน อยู่ติดกับบ้านของผม

บ้านของผมเป็นบ้าน 2 ชั้น เหมือนบ้านในชนบททั่วไป ชั้นล่างปล่อยโล่งเพื่อเอาไว้สำหรับเก็บของ

จำบรรยากาศได้ว่า ผมเดินสะพายเป้ทหารพกเงินหมื่นกว่าบาท ไปตามถนนเพื่อจะเข้าบ้าน  ถนนที่ว่านี้ เป็นถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา  เป็นคันกันน้ำไปในตัวด้วย

เมื่อเดินเลี้ยวซ้ายจากถนนเข้าซอยจะไปบ้านนั้น  ผมรู้ว่ามีการผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวผม กล่าวคือ เหมือนกับตามันว่อบๆ แว่บ คล้ายจะเวียนหัว แต่ไม่ใช่

ตอนนั้น ผมก็นึกว่า คงเกิดจากอาการเวียนหัวจากการเดินทาง ก็ไม่คิดอะไร ก็เดินเข้าซอยไป

ช่วงถนนกับบ้านของผมก็ประมาณ 80 เมตร ผมเดินเข้าไปครึ่งซอย  ผมก็เห็น “ไอ้ปิ” มันเดินสวนมา

ที่ผมคิดว่าเป็น “ไอ้ปิ” ก็เพราะ มันต่ำกว่าผมเล็กน้อย และอ้วนกว่าผม และแถวนั้นก็มี “ไอ้ปิ” คนเดียวที่รูปร่างอย่างนั้น

ในซอยนั้นไม่มีแสงไฟสาธารณะบริการแบบในเมือง  มืดเกือบสนิท คนที่ผมคิดว่าเป็น “ไอ้ปิ” นั้น ไม่เห็นหน้าตาหรอกครับ เห็นแต่เป็นรูปร่างดำทะมึน

เมื่อผมคิดว่า “ไอ้ปิ” มันเดินสวนมา ก็เดาว่ามันจะไปดูโทรทัศน์ที่บ้านเพื่อนในตลาด ผมก็เลยยืนขวางทางมันไว้

ซอยนั้นแคบอยู่แล้ว  เมื่อผมขวางทางอยู่  “ไอ้ปิ” ในความคิดของผม มันก็ต้องหยุดยืนประจันหน้ากับผม

เรียกว่า ยืนชิดกันนั่นแหละ 

พอ“ไอ้ปิ” มันหยุดอยู่ เพราะผมขวางมัน  ผมก็ถามมันว่า “ไอ้ปิ มึงจะไปไหนวะ”  “ไอ้ปิ” มันไม่ตอบ  ผมก็นึกในใจว่า มันเป็นอะไรของมัน ถามก็ไม่ตอบ 

ช่วงเวลาหยุดโลก อันอึดอัดนั้น ใช้เวลานานมากพอสมควร หลายนาทีเลยทีเดียว

มันไม่ตอบ  ผมก็ทำอะไรไม่ถูก จะถามมันต่อก็ไม่รู้จะถามอะไร  ผมยังงงๆ ว่า ทำไมมันไม่ตอบ ในใจชักคิดว่า หรือจะไม่ใช่ไอ้ปิ แต่เป็นคนอื่น

อย่างไรก็ดี ผมก็ไม่ได้ถอยหลังเพื่อให้ “ไอ้ปิ” มันเดินต่อไป

สักพัก “สิ่ง” ที่ผมคิดว่าเป็น “ไอ้ปิ”  มันเลื่อนตัว ลอยหลบผมไป  มันลอยเลื่อนหลบผมไป เห็นจะจะ ชัดๆ

สิ่งที่ผมคิดว่าเป็น “ไอ้ปิ” ไม่ได้เดินนะครับ  อาการเดินถอยหลังหน่อยหนึ่ง  หรือเดินออกไปข้างๆ เพื่อเดินต่อไปนั้น  ไม่เหมือนกับการลอยตัวผ่านไป

พอ “ไอ้ปิ” มันเลื่อนหลบผมไป  ผมรู้ตัวแล้ว  “กูขวางผีเข้าแล้ว”  จากความที่ไม่เคยกลัวผีมาก่อน มันก็ไม่ค่อยกลัว แต่ใจสั่นตุ้บๆ นั่นแหละ

เมื่อผีมันเลื่อนหนี “คนขวางผี” ไปแล้ว  ผมก็เดินต่อ ใจก็สั่น แต่ผมไม่วิ่งหนีให้เสียศักดิ์ศรี  ประตูบ้านเห็นๆ อยู่อีก 20-30 เมตร

ทีแรกผมคิดจะหันไปดูเหมือนกัน เพราะยังสงสัยว่า ไอ้สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่  แต่เคยอ่านหนังสือผี เขาห้าม

ผมก็เลยเดินด้วยความสุขุม ทั้งๆ ที่ใจสั่นตุ้บตับๆ ไปเรื่อย

เมื่อถึงประตูบ้าน  ประตูบ้านของผม ไม่มีการปิด คือ มีบานประตูสำหรับปิดเปิดได้ แต่ผมไม่เห็นมีใครปิดประตูรั้วบ้านสักที  

พอผมก้าวเข้าไปในบ้านได้   ผมก็เห็นน้องชายกำลังลงบันไดบ้านมาได้ครึ่งทางแล้ว เพื่อจะไปดูโทรทัศน์ในตลาด

ผมก็ร้องบอกมันว่า “ไอ้อู ผีหลอกกู” คราวนี้ ผมทิ้งศักดิ์ศรีอันกินไม่ได้ไว้ก่อน วิ่งขึ้นบันไดบ้าน สวนน้องชายของผมไป 

น้องชายผมก็ประสาทดีเหมือนกัน  มันก็หันหลังวิ่งตามผมขึ้นบ้านไปเหมือนกัน  ปรากฏว่าน้องชายของผมไม่กล้าออกไปดูโทรทัศน์คืนนั้น

นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมเห็น “ผี” อย่างจริงจัง เพราะ ไปขวางทางของมัน  หลังจากนั้นมา ผมมีประสบการณ์เกี่ยวกับผีอีกหลายครั้งหลายหน แต่ไม่เคยเจออย่างนั้นอีกเลย

ที่เขียนๆ ไปนี้  ผมก็ยังงงๆ อยู่ว่า ไอ้ผีตัวนั้น มันจะเดินไปไหนของมัน ค่ำๆ มืดๆ  

ไม่กลัวคนบ้างหรือไงก็ไม่รู้

จะเห็นได้ว่า ในการที่จะเห็นผีนั้น จะต้อง “สิ่งบอกเหตุ” หรืออะไรเกิดขึ้นก่อน  อย่างผมเองนั้น เกิดอาการคล้ายๆ เวียนหัว  เห็นอะไรว่อบๆ แว่บๆ ด้วยหางตา.. 

การเห็นผีนั่น ไม่ใช่ว่า เราอยู่ของเราดีๆ บรรยากาศดีๆ แล้วผีก็โผล่พรวดมานั่งยิ้มให้ข้างหน้า..

-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น